ชุดที่ 1
https://drive.google.com/file/d/15g1snMBZ0JHhpFjl-alJ5xlmZkUJoJ_D/view
ชุดที่2
https://drive.google.com/open?id=1H5tQFfu7UfCJUHgbq4KSqPgDVNU1ysBW
ชุดที่ 3
https://drive.google.com/open?id=1ab6jfajmJ1Pgd6Zr7JVXUC8w7M9nPQ85
ชุดที่ 4
https://drive.google.com/open?id=1FviwCNaoyYP8Q7YKejelxjR-5y5IvjKT
ชุดที่ 5
https://drive.google.com/open?id=1Y7kYL84UAcDD8UCp3eLXuuL179ONl6l3
ชุดที่ 6
https://drive.google.com/open?id=10F-kZcDNG4CRl0ko0i1GerHv8uY8IkHU
ชุดที่ 7
https://drive.google.com/open?id=1_SVgFS7dF47NqcXi1NoNy582vknCclQB
วันเสาร์ที่ 28 เมษายน พ.ศ. 2561
ชุดที่ 7
วิชา
การออกแบบและการจัดการเรียนรู้
ประจำภาคเรียนที่ 2 / 2560
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิช
คำชี้แจง : ให้นักศึกษาอ่านคำชี้แจงและปฏิบัติตามดังต่อไปนี้
1. มีทั้งหมด 10 ข้อ แบบอัตนัยและแบบปรนัย ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
2. เขียนคำตอบโดยให้ใช้ปากกาสีน้ำเงิน
สีดำ หรือสีแดงเท่านั้น
คำชี้แจง
:
ข้อ
1-3 อ่านข้อความต่อไปนี้ จากนั้นให้ทำเครื่องหมาย P
หน้าข้อความที่เป็นจริง และทำเครื่องหมาย χ หน้าข้อความ
ที่ไม่เป็นจริง
………P……
1. รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการพัฒนาโดยทิศนา
แขมมณี ในปี 2526 โดยมีวัตถุประสงค์ของรูปแบบคือมุ่งพัฒนาความสามารถในการคิด
(โยนิโสมนสิการ) การตัดสินใจและการแก้ปัญหาที่เกี่ยวข้องกับเนื้อหาที่เรียน
……χ………
2. รูปแบบการเรียนการสอนแบบโยนิโสมนสิการพัฒนาขึ้นจากหลักการที่ว่า
การศึกษาที่แท้ควรสัมพันธ์สอดคล้องกับการดำเนินชีวิต
ซึ่งต้องเผชิญกับการเปลี่ยนแปลงต่างๆ ซึ่งมีทั้งทุกข์ สุข
ความผิดหวังและความสมหวัง
ซึ่งการศึกษาที่แท้ควรช่วยให้ผู้เรียนได้เรียนรู้ที่จะเผชิญกับสถานการณ์ต่างๆ
เหล่านั้น
………P…… 3. รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา
(CIPPA MODEL) พัฒนาจากหลักการเรียนรู้ 5 ประการ คือ
1.
การสร้างความรู้
2.
กระบวนการกลุ่มและความร่วมมือ
3.
ความพร้อมในการเรียนรู้
4.
การเรียนรู้และกระบวนการ
5.
การถ่ายโอนการเรียนรู้
คำชี้แจง
:
ข้อ
4-5 จงตอบคำถามต่อไปนี้ และเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบ
4.
รูปแบบการเรียนการสอนโดยสร้างศรัทธาและโยนิโสมนสิการ
ทฤษฏี/หลักการของรูปแบบ
๑. ขั้นนำ ( เสริมสร้างปัญญา )
๒. ขั้นสอน
๓. ขั้นสรุป
๑. ขั้นนำ ( เสริมสร้างปัญญา )
๒. ขั้นสอน
๓. ขั้นสรุป
วัตถุประสงค์ของรูปปแบบ
๑. เพื่อให้ผู้เรียนได้เรียนรู้วิธีการใช้ความคิดอย่างถูกวิธี คิดเป็น คิดอย่างมีระเบียบ รู้วิธีหาเหตุผล ตลอดจนสามารถแยกแยะปัญหาได้ด้วยตนเอง
๒. เพื่อให้ผู้เรียนนำความรู้ทักษะมาใช้เป็นหลักปฏิบัติในชีวิตประจำวัน
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ขั้นตอนการจัดการเรียนรู้
๑. ขั้นนำ ( เสริมสร้างปัญญา )
๑.๑ จัดบรรยากาศในชั้นเรียนเพื่อส่งเสริมการเรียนรู้ ซึ่งต้องมีลักษณะ -- มีความสงบใกล้ชิดธรรมชาติ ให้ผู้เรียนได้สัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ให้ผู้เรียนได้สัมผัสสิ่งแวดล้อมที่เป็นธรรมชาติ ใช้แหล่งวิทยากรในชุมชน ผู้เรียนได้ประสบการณ์ตรง -- สภาพชั้นเรียน แปลกใหม่ไม่จำเจ บริเวณห้องเรียน โรงเรียนสะอาดมีระเบียบเรียนร้อย -- สร้างบรรยากาศ ที่ชวนให้สบายใจ ไม่มีการข่มขู่บังคับ
๑.๒ สร้างสัมพันธ์ที่ดีระหว่างผู้สอนกับผู้เรียน-- ผู้สอนต้องปฏิบัติตัวเป็นกัลยาณมิตรกับผู้เรียน คือต้องมีสำรวมกาย น่าเชื่อถือศรัทธา สง่า สะอาด แจ่มใส มีความรู้มีคุณธรรม -- สั่งสอนผู้เรียนด้วยความรักและเป็นที่พึ่งของผู้เรียน อย่างแท้จริง
๑.๓ ผู้สอนนำเสนอสิ่งเร้าและแรงจูงใจ เช่นใช้วิธีตรวจสอบความคิด และความสามารถของผู้เรียน ก่อนสอน เป็นการเสริมแรงเร้าให้เกิดความมานะ พากเพียร ใส่สื่อกิจกรรมที่น่าสนใจ
๒. ขั้นสอน
๑. ผู้สอนเสนอปัญหาที่เป็นสาระสำคัญของบทเรียน โดยใช้วิธีนำเสนอที่หลากหลาย และท้าทายความคิด
๒. ผู้สอนแนะนำแหล่งเรียนรู้อย่างกว้างขวาง
๓. ให้ผู้เรียนฝึกการรวบรวมข้อมูล โดยการ ทำงานอย่างเป็นระบบระเบียบ
๔. ผู้สอนจัดกิจกรรมเร้าให้ผู้เรียนเกิดความคิดวิธีต่าง ๆ เช่นใช้คำถามอย่างเหมาะสมเพื่อเร้าให้เกิดความคิด
๕. ให้ผู้เรียนฝึกการสรุปประเด็นของข้อมูล เพื่อหาทางเลือกวิธีแก้ปัญหาโดยการฝึกกระบวนการทำงานเป็นกลุ่ม แลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน
๖. ให้ผู้เรียนเลือกและตัดสินใจ การลงมติร่วมกันภายในกลุ่ม
๗. ให้ผู้เรียนฝึก ปฏิบัติ เพื่อพิสูจน์การเลือก ให้ตรงกับแผนและบันทึกข้อมูลให้เป็นระเบียบ
๓. ขั้นสรุป
๑. ครูและนักเรียนร่วมกันสังเกตวิธี ปฏิบัติ ตรวจสอบปรับปรุงแก้ไข
๒. ครูและนักเรียนร่วมกันอภิปราย และสอบถามข้อสงสัย
๓. ครูละนักเรียนร่วมกันสรุปการเรียนรู้ เช่นใช้การอภิปรายกลุ่ม และสรุปสาระสำคัญ
๔. ผู้สอนและผู้เรียนร่วมกันประเมินผลการเรียนรู้
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
๑. เป็นการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกทักษะด้านการคิดหาเหตุผลอย่างเป็นระบบ๒. ผู้เรียนได้ลงมือปฏิบัติจนเกิดปัญญาด้วยตนเอง
๓. เสริมสร้างบรรยากาศที่เป็นกัลยาณมิตรต่อกันระหว่างผู้เรียนกับผู้สอน
๔. ฝึกความเป็นประชาธิปไตยบนพื้นฐานของความเป็นเหตุผล และเสริมสร้างปัญญาให้กับผู้เรียน โดยการจัดลำดับการฝึกคิด โดยใช้หลักการชั้นสูง
5. รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้โมเดลซิปปา (CIPPA MODEL)
ทฤษฏี/หลักการของรูปแบบ
รูปแบบการเรียนการสอนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
: โมเดลซิปปา (Cippa Model) หรือรูปแบบการประสานห้าแนวคิด ได้พัฒนาขึ้นโดย ทิศนา แขมมณี
รองศาสตราจารย์ประจำคณะครุศาสตร์จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย
ซึ่งได้พัฒนารูปแบบจากประสบการณ์ในการสอนมากว่า 30 ปี
และพบว่าแนวคิดจำนวนหนึ่งสามารถใช้ได้ผลดีตลอดมา
จึงได้นำแนวคิดเหล่านั้นมาประสานกันเกิดเป็นแบบแผนขึ้น
แนวคิดดังกล่าวได้แก่
1. แนวคิดการสร้างความรู้
2. แนวคิดกระบวนการกลุ่มและการเรียนรู้แบบร่วมมือ
3. แนวคิดเกี่ยวกับความพร้อมในการเรียนรู้
4. แนวคิดเกี่ยวกับกระบวนการเรียนรู้
5. แนวคิดเกี่ยวกับการถ่ายโอนความรู้
เมื่อนำแนวคิดดังกล่าวมาจัดการเรียนการสอนพบว่าสามารถพัฒนาผู้เรียนได้ครบทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านร่างกาย อารมณ์
สติปัญญาและสังคม
โดยหลักการของโมเดลซิปปา
ได้ยึดหลักการเรียนการสอนที่เน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ ในตัวหลักการคือการช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้
ช่วยให้ผู้เรียนมีบทบาทและมีส่วนร่วมในกระบวนการเรียนรู้ให้มากที่สุด
มีปฏิสัมพันธ์ต่อกันและได้เรียนรู้จากกันและกัน มีการแลกเปลี่ยนข้อมูลความรู้ ความคิดเห็นและประสบการณ์ ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่าง ๆ ร่วมกับการผลิตผลงานซึ่งมีความคิดสร้างสรรค์ที่หลากหลายและสามารถนำความรู้ไปใช้ในชีวิตประจำวัน
ให้นักเรียนเป็นผู้สร้างองค์ความรู้ด้วยตนเองตามแนวคิด Constructivism (ทิศนา แขมมณี, 2542 )
วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้
ความเข้าใจในเรื่องที่เรียนอย่างแท้จริงโดยการให้ผู้เรียนสร้างความรู้ด้วยตนเองโดยอาศัยความร่วมมือจากกลุ่ม
นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาทักษะกระบวนการต่างๆ จำนวนมาก อาทิ กระบวนการคิด
กระบวนการกลุ่ม การปฏิสัมพันธ์สังคม และกระบวนการแสวงหาความรู้ เป็นต้น
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
ซิปปา (CIPPA)
เป็นการหลักซึ่งสามารถนำไปใช้เป็นหลักในการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ต่างๆ
ให้แก่ผู้เรียน การจัดกระบวนการเรียนการสอนตามหลัก “CIPPA” นี้สามารถใช้วิธีการและกระบวนการที่หลากหลาย
ซึ่งอาจจัดเป็นแบบแผนได้หลายรูปแบบ
รูปแบบหนึ่งที่ผู้เขียนได้นำเสนอไว้และได้มีการนำไปทดลองใช้แล้วได้ผลดี
ประกอบด้วยขั้นตอนการดำเนินการ 7 ขั้นตอนดังนี้
ขั้นที่ 1 การทบทวนความรู้เดิม
ขั้นนี้เป็นการดึงความรู้เดิมของผู้เรียนในเรื่องที่จะเรียน
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมของตน
ซึ่งผู้สอนอาจใช้วิธีการต่างๆ ได้อย่างหลากหลาย
ขั้นที่ 2 การแสวงหาความรู้ใหม่
ขั้นนี้เป็นการแสวงหาข้อมูลความรู้ใหม่ของผู้เรียนจากแหล่งข้อมูลหรือแหล่งความรู้ต่างๆ
ซึ่งครูอาจจัดเตรียมมาให้ผู้เรียนหรือให้คำแนะนำเกี่ยวกับแหล่งข้อมูลต่างๆ
เพื่อให้ผู้เรียนไปแสวงหาก็ได้
ขั้นที่ 3 การศึกษาทำความเข้าใจข้อมูล/ความรู้ใหม่ และเชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความเดิม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนจะต้องศึกษาและทำความเข้าใจกับข้อมูล/ความรู้ที่หามาได้
ผู้เรียนจะต้องสร้างความหมายของข้อมูล/ประสบการณ์ใหม่ๆ โดยใช้กระบวนการต่างๆ
ด้วยตนเอง เช่น ใช้กระบวนการคิด และกระบวนการกลุ่มในการอภิปรายและสรุปความเข้าใจเกี่ยวกับข้อมูลนั้นๆ
ซึ่งจำเป็นต้องอาศัยการเชื่อมโยงกับความรู้เดิม
ขั้นที่ 4 การแลกเปลี่ยนความรู้ความเข้าใจกับกลุ่ม
ขั้นนี้เป็นขั้นที่ผู้เรียนอาศัยกลุ่มเป็นเครื่องมือในการตรวจสอบความรู้ความเข้าใจของตน
รวมทั้งขยายความรู้ความเข้าใจของตนเองให้กว้างขึ้น
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนได้แบ่งปันความรู้ความเข้าใจของตนแก่ผู้อื่น
และได้รับประโยชน์จากความรู้ ความเข้าใจของผู้อื่นไปพร้อมๆ กัน
ขั้นที่ 5 การสรุปและจัดระเบียบความรู้
ขั้นนี้เป็นขั้นของการสรุปความรู้ที่ได้รับทั้งหมด
ทั้งความรู้เดิมและความรู้ใหม่
และสิ่งที่เรียนให้เป็นระบบระเบียบเพื่อช่วยให้ผู้เรียนจดจำสิ่งที่เรียนรู้ได้ง่าย
ขั้นที่ 6 การปฏิบัติ และ/หรือการแสดงผลงาน
หากข้อความรู้ที่ได้เรียนรู้มาไม่มีการปฏิบัติ ขั้นนั้นจะเป็นขั้นที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสแสดงผลงานการสร้างความรู้ของตนเองให้ผู้อื่นรับรู้
เป็นการช่วยให้ผู้เรียนได้ตอกย้ำหรือตรวจสอบความเข้าใจของตนเองและช่วยส่งเสริมให้ผู้เรียนใช้ความคิดสร้างสรรค์แต่หากต้องมีการปฏิบัติตามข้อความรู้ที่ได้
ขั้นนี้จะเป็นขั้นปฏิบัติ และมีการแสดงผลงานที่ได้ปฏิบัติด้วย
ขั้นที่ 7 การประยุกต์ใช้ความรู้
ขั้นนี้เป็นขั้นของการส่งเสริมให้ผู้เรียนได้ฝึกฝนการนำความรู้ความเข้าใจของตนไปใช้ในสถานการณ์ต่างๆ
ที่หลากหลายเพื่อเพิ่มความชำนาญ ความเข้าใจ ความสามารถในการแก้ปัญหาและความจำในเรื่องนั้นๆ
หลังจากการประยุกต์ใช้ในความรู้
อาจจะมีการนำเสนอผลงานจากการประยุกต์อีกครั้งก็ได้
หรืออาจไม่มีการนำเสนอผลงานในขั้นที่ 6
แต่นำมารวมแสดงในขั้นตอนท้ายหลังขั้นการประยุกต์ใช้ก็ได้เช่นกัน
ขั้นตอนตั้งแต่ขั้นที่ 1-6
เป็นกระบวนการของการสร้างความรู้ (construc-tion of
knowledge) ซึ่งครูสามารถจัดกิจกรรมให้ผู้เรียนมีโอกาสปฏิสัมพันธ์แลกเปลี่ยนเรียนรู้กัน
(interaction) และฝึกฝนทักษะกระบวนการต่างๆ (process
learning) อย่างต่อเนื่อง เนื่องจากขั้นตอนแต่ละขั้นตอนช่วยให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมหลากหลายที่มีลักษณะให้ผู้เรียนได้มีการเคลื่อนไหวทางกาย
ทางสติปัญญา ทางอารมณ์ และทางสังคม อย่างเหมาะสม 6 ทีคุณสมบัติตามหลักการ
CIPPส่วนขั้นตอนที่ 7 เป็นขั้นตอนที่ช่วยให้ผู้เรียนนำความรู้ไปใช้
(application) จึงทำให้เป็นรูปแบบนี้มีคุณสมบัติครบตามหลักCIPPA
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจในสิ่งที่เรียน
สามารถอธิบาย ชี้แจง ตอบคำถามได้ดี นอกจากนั้นยังได้พัฒนาทักษะในการคิดวิเคราะห์
การคิดสร้างสรรค์ การทำงานเป็นกลุ่ม การสื่อสาร รวมทั้งเกิดความใฝ่รู้ด้วย
CIPPA Model นอกจากจะเป็นรูปแบบการจัดการเรียนการสอนแล้ว
ยังสามารถนำไปใช้เป็นตัวชี้วัด
หรือเป็นเครื่องตรวจสอบการจัดกิจกรรมการเรียนการสอนได้ว่า
กิจกรรมนั้นเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางหรือไม่
โดยนำเอากิจกรรมในแผนการสอนมาตรวจสอบตามหลัก CIPPAการจัดการเรียนการสอนแบบCIPPA
การจัดการเรียนการสอนแบบเน้นผู้เรียนเป็นศูนย์กลางนั้นก็คือ
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนที่เปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมนั้น
ทั้งทางร่างกาย สติปัญญา สังคมและอารมณ์
การจัดกิจกรรมการเรียนการสอนเพื่อให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมนั้น
มิใช่หมายความแต่เพียงว่าให้ผู้เรียนได้ทำกิจกรรมอะไรๆ ก็ได้ที่ผู้เรียนชอบ กิจกรรมที่ครูจัดให้ผู้เรียนจะต้องเป็นกิจกรรมที่นำไปสู่การเรียนรู้ตามจุดประสงค์ที่ตั้งไว้
และเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทั้งทางด้านร่างกาย สติปัญญา สังคม
และอารมณ์ จึงจะสามารถทำให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ได้ดี
ดังนั้นครูที่จะสอนผู้เรียนโดยยึดผู้เรียนเป็นศูนย์กลาง
จึงจำเป็นที่จะต้องออกแบบกิจกรรมการเรียนการสอนให้มีลักษณะดังนี้
1. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีส่วนร่วมทางด้านกาย
(Physical Participation) คือ
เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้มีโอกาสเคลื่อนไหวร่างกาย
เพื่อช่วยให้ประสาทการรับรู้ของผู้เรียนตื่นตัวพร้อมที่จะรับข้อมูลและการเรียนรู้ต่างๆ
ที่จะเกิดขึ้น การรับรู้เป็นปัจจัยสำคัญในการเรียนรู้
หากผู้เรียนไม่มีความพร้อมในการรับรู้ แม้จะมีการให้ความรู้ที่ดีๆ
ผู้เรียนก็ไม่สามารถรับได้ ซึ่งจะเห็นได้จากเหตุการณ์ที่พบได้เสมอๆ คือ
หากผู้เรียนต้องนั่งนานๆ ไม่ช้า ผู้เรียนอาจหลับไป หรือคิดไปเรื่องอื่นๆ ได้
การเคลื่อนไหวทางกาย มีส่วนช่วยให้ประสาทรับรู้ตื่นตัว
พร้อมที่จะรับและเรียนรู้สิ่งต่างๆ ได้ดี ดังนั้นกิจกรรมที่จัดให้ผู้เรียน
จึงควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนได้เคลื่อนไหวในลักษณะใดลักษณะหนึ่งเป็นระยะๆ ตามความเหมาะสมกับวัยและระดับความสนใจของผู้เรียน
2. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา
(Intellectual Participation) คือเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนเกิดความเคลื่อนไหวทางสติปัญญาหรือพูดง่ายๆ
ว่า เป็นกิจกรรมที่ท้าทายความคิดของผู้เรียน ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนเกิดความจดจ่อในการคิด
สนุกที่จะคิด ดังนั้น กิจกรรมจะมีลักษณะดังกล่าวได้
ก็จะต้องมีเรื่องให้ผู้เรียนคิด
โดยเรื่องนั้นจะต้องไม่ง่ายและไม่ยากเกินไปสำหรับผู้เรียน เพราะถ้าง่ายเกินไป
ผู้เรียนก็ไม่จำเป็นต้องใช้ความคิด แต่ถ้ายากเกินไป ผู้เรียนก็จะเกิดความท้อถอยที่จะคิด
ดังนั้นครูจึงต้องหาประเด็นที่เหมาะสมกับวัยและความสามารถของผู้เรียน
เพื่อกระตุ้นให้ผู้เรียนใช้ความคิดหรือลงมือทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง
3. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม (Social
Participation) คือ เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคลหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว
เนื่องจากมนุษย์เป็นสัตว์สังคม ที่อาศัยรวมกันอยู่เป็นหมู่คณะ
มนุษย์โดยทั่วไปจะต้องเรียนรู้ที่จะปรับตัวเข้ากับบริบทต่างๆ
การเปิดโอกาสให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่น
จะช่วยให้ผู้เรียนเกิดการเรียนรู้ทางสังคม ซึ่งจะส่งผลถึงการเรียนรู้ทางด้านอื่นๆ
ด้วย ดังนั้น กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดี
จึงควรเป็นกิจกรรมที่ส่งเสริมให้ผู้เรียนได้เรียนรู้จากสิ่งแวดล้อมรอบตัวด้วย
4. เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางอารมณ์ (Emotional
Participation) คือ กิจกรรมที่ส่งผลต่ออารมณ์ความรู้สึกของผู้เรียน
ซึ่งจะช่วยให้การเรียนรู้นั้นเกิดความหมายต่อตนเอง
กิจกรรมที่ส่งผลต่อความรู้สึกของผู้เรียนนั้น
มักจะเป็นกิจกรรมที่เกี่ยวข้องกับชีวิต ประสบการณ์ และความเป็นจริงของผู้เรียน
จะต้องเป็นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับตัวผู้เรียนโดยตรงหรือใกล้ตัวผู้เรียน
6. รูปแบบการเรียนการสอนใด
ใช้แนวคิดของ “Anchored
Instruction” มาใช้เป็นชื่อการจัดการเรียนการสอนและนำมาใช้เป็นหลักการและแนวคิดของรูปแบบ
ก. รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมทางกาย
ข. รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบท
ค. รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดของทฤษฏีคอนสตรัคติวิสต์
ง. รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการ
จ. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติสำหรับครูวิชาอาชีพ
7. รูปแบบการเรียนการสอนใด
มีวัตถุประสงค์ของรูปแบบโดยมุ่งพัฒนาความรู้ความเข้าใจเกี่ยวกับงานที่ทำ
และเกิดทักษะความสามารถที่จะทำงานนั้นได้อย่างชำนาญตามเกณฑ์
รวมถึงมีเจตคติที่ดีและลักษณะนิสัยที่ดีในการทำงานด้วย
ก.
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้กิจกรรมทางกาย
ข.
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้สาระอิงบริบท
ค.
รูปแบบการเรียนการสอนคณิตศาสตร์ตามแนวคิดของทฤษฏีคอนสตรัคติวิสต์
ง.
รูปแบบการเรียนการสอนการเขียนภาษาอังกฤษแบบเน้นกระบวนการ
จ.
รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นทักษะปฏิบัติสำหรับครูวิชาอาชีพ
คำชี้แจง
:
ข้อ
8-10 จงตอบคำถามต่อไปนี้ และเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบ
8. จงอธิบายความหมายของการจัดกิจกรรมการเรียนรู้ตามรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้โมเดลซิปปาให้ถูกต้องและชัดเจน
C
– Construction of Knowledge คือ
หลักการสร้างความรู้ หมายถึง
การให้ผู้เรียนสร้างความรู้ตามแนวคิดของ Constructivism ซึ่งเชื่อว่าการเรียนรู้เป็นประสบการณ์เฉพาะตนในการสร้างความหมายของสิ่งที่เรียนรู้ด้วยตนเอง
กล่าวคือ
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสสร้างความรู้ได้ด้วยตนเอง
ทำให้ผู้เรียนมีความเข้าใจและเกิดการเรียนรู้ที่มีความหมายต่อตนเอง
ซึ่งการที่ผู้เรียนมีโอกาสได้สร้างความรู้ด้วยตนเองนี้เป็นกิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสติปัญญา
I
– Interaction คือ
หลักการปฏิสัมพันธ์ หมายถึง
การให้ผู้เรียนมีปฏิสัมพันธ์กับผู้อื่นหรือสิ่งแวดล้อมรอบตัว ซึ่งตามทฤษฎี Constructivismและ Cooperative Learning เชื่อว่าการเรียนรู้เป็นกระบวนการทางสังคมที่บุคคลจะต้องอาศัยและพึ่งพาซึ่งกันและกันเพื่อให้เกิดการเรียนรู้ที่เป็นประโยชน์ต่อการอยู่ร่วมกัน
กล่าวคือ กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีจะต้องเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้มีปฏิสัมพันธ์ทางสังคมกับบุคคล
และแหล่งความรู้ที่หลากหลาย ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางสังคม
P
– Process Skills คือ
หลักการเรียนรู้กระบวนการ หมายถึง
การเรียนรู้กระบวนการต่างๆ เพราะทักษะกระบวนการเป็นเครื่องมือสำคัญในการเรียนรู้
ซึ่งมีความสำคัญไม่ยิ่งหย่อนไปกว่าสาระ (Content) ของการเรียนรู้ กล่าวคือ
กิจกรรมการเรียนรู้ที่ดีควรเปิดโอกาสให้ผู้เรียนได้เรียนรู้กระบวนการต่างๆ เช่น
กระบวนการคิด กระบวนการทำงาน กระบวนการแสวงหาความรู้ กระบวนการแก้ปัญหา
กระบวนการกลุ่ม ฯลฯ ซึ่งเป็นทักษะที่จำเป็นต่อการดำรงชีวิต และเป็นสิ่งที่ผู้เรียนจำเป็นต้องใช้ตลอดชีวิต
รวมทั้งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางด้านสติปัญญาอีกทางหนึ่ง
P
– Physical Participation คือ
หลักการมีส่วนร่วมทางร่างกาย หมายถึง
การให้ผู้เรียนมีโอกาสได้เคลื่อนไหวร่างกาย โดยการทำกิจกรรมในลักษณะต่าง ๆ
ซึ่งเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมทางกาย กล่าวคือ
การเรียนรู้ต้องอาศัยการเรียนรู้การเคลื่อนไหวทางกายจะช่วยให้ประสาทการรับรู้
"active" และรับรู้ได้ดีดังนั้นในการสอนจึงจาเป็นต้องมีกิจกรรมให้ผู้เรียนต้องเคลื่อนไหวที่หลากหลาย
และเหมาะสมกับวัยและความสนใจของผู้เรียน
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีความพร้อมในการรับรู้และเรียนรู้
A
– Application คือ
หลักการประยุกต์ใช้ความรู้ หมายถึง
การนาความรู้ไปประยุกต์ใช้ กล่าวคือ การนำความรู้ไปใช้ในชีวิตจริงหรือการปฏิบัติจริง
จะช่วยให้ผู้เรียนได้รับประโยชน์จากการเรียน
ทำให้เกิดการเรียนรู้เพิ่มเติมขึ้นเรื่อยๆ และเกิดการเรียนรู้ที่ลึกซึ้งขึ้น
กิจกรรมการเรียนรู้ที่มีแต่เพียงการสอนเนื้อหาสาระให้ผู้เรียนเข้าใจ
โดยขาดกิจกรรมการนำความรู้ไปประยุกต์ใช้ จะทำให้ผู้เรียนขาดการเชื่อมโยงระหว่างทฤษฎีกับการปฏิบัติ
ซึ่งจะทำให้การเรียนรู้ไม่เกิดประโยชน์เท่าที่ควร การจัด
กิจกรรมที่ช่วยให้ผู้เรียนสามารถนาความรู้ไปประยุกต์ใช้นี้
เท่ากับเป็นการช่วยให้ผู้เรียนมีส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ในด้านใดด้านหนึ่งหรือหลายๆ
ด้านแล้วแต่ลักษณะของสาระและกิจกรรมที่จัดนอกจากนี้
การนำความรู้ไปใช้เป็นประโยชน์ในการดำรงชีวิต
เป็นเป้าหมายสำคัญของการจัดการศึกษาและการเรียนการสอน
9. “จากการศึกษารูปแบบการเรียนการสอนที่พัฒนาขึ้นโดยคนไทยแล้ว
ปรากฏว่า
รูปแบบการสอนทุกรูปแบบนั้นได้รับการพัฒนาอย่างเป็นระบบและได้รับการทดลองใช้เพื่อพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพ” ท่านมีความคิดเห็นด้วยหรือไม่อย่างไรกับข้อความนี้ เพราะอะไร จงอธิบาย
การจัดการเรียนการสอนตาม CIPPA Model สามารถส่งเสริมให้ผู้เรียนมี
ส่วนร่วมในกิจกรรมการเรียนรู้ทั้งทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม
ส่วนการมีส่วนร่วมทางด้านอารมณ์นั้น ความจริงแล้วมีเกิดขึ้นควบคู่ไปกับทุกด้าน
ไม่ว่าจะเป็นทางด้านกาย สติปัญญา และสังคม
ซึ่งหากครูสามารถจัดกิจกรรมการเรียนรู้ให้ผู้เรียนได้ตามหลักดังกล่าวแล้ว การจัด
การเรียนการสอนของครูก็จะมีลักษณะที่ผู้เรียนเป็นศูนย์กลางอย่างแท้จริง วิธีการที่จะจัดการเรียนการสอนให้สอดคล้องกับ
CIPPA Model สามารถทำได้โดยครูอาจเริ่มต้นจากแผนการสอนที่มีอยู่แล้ว
และนำแผนดังกล่าวมาพิจารณาตาม CIPPA Model หากกิจกรรมตามแผนการสอนขาดลักษณะใดไป
ก็พยายามคิดหากิจกรรมที่จะช่วยเพิ่มลักษณะดังกล่าวลงไป หากแผนเดิมมีอยู่บ้างแล้ว
ก็ควรพยายามเพิ่มให้มากขึ้น เพื่อกิจกรรมจะได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น
เมื่อทำเช่นนี้ได้จนเริ่มชำนาญแล้ว ต่อไปครูก็จะสามารถวางแผนตาม CIPPA
Model ได้ไม่ยากนัก
10. ท่านคิดว่า การศึกษาเกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอนโดยคนไทยรูปแบบใด
มีประโยชน์ต่อนักเรียนมากที่สุด เพราะเหตุใด จงอธิบาย
การเรียนแบบนักเรียนเป็นศูนย์กลาง
เพราะ
1. มุ่งเน้นไปที่ให้มีการเรียนรู้อย่างมีการโต้ตอบ ใช้แนวคิดต่างๆ ร่วมกันเพื่อเชื่องต่อการเรียนรู้ใหม่กับการเรียนรู้เดิม กระตุ้นความสนใจและสิ่งที่เชื่องโยงกัน เปิดโอกาสให้ผู้เรียนหรือนักเรียนมีทางเลือกและควบคุม ปรับเปลี่ยน เพื่อความต้องการในการพัฒนาที่แตกต่างกันของแต่ละคน พร้อมกันนั้นยังให้การดูแลและสร้างบรรยากาศการที่ส่งเสริมการเรียนรู้
2.จัดโครงสร้างความรู้โดยผ่านการเรียนรู้ที่แท้จริง คือการเรียนในบรรยากาศจริงหรือในบริบทที่ความรู้เกิดขึ้นหรือถูกสร้างขึ้น หรือจะกล่าวได้อีกอย่างว่า เชื่อมต่อประสบการณ์การเรียนรู้ในโรงเรียนกับสถานการณ์ของโรลกความจริงนั้น เอง
3.นักเรียนมีส่วนร่วมในขั้นตอนการเรียนรู้ มากกว่าการเป็นผู้รับความรู้ นักเรียนจะได้รับโอกาสในการมีส่วนร่วมและเพิ่มความรู้สึกรับผิดชอบเพื่อให้ ทราบถึงทิศทางการเรียนรู้ของตัวเองและความต้องการในการเรียนรู้ของตนเอง รู้แหล่งของการเรียนรู้ และจัดโครงสร้างความรู้ตามความต้องการของตัวเอง
4.จัดกิจกรรมในชั้นเรียนและโครงงานที่แตกต่าง เพื่อให้ผู้เรียนหรือนักเรียนได้มีทางเลือกหลากหลายในการคัดสรรตามความต้อง การของนักเรียนแต่ละคน เป็นผลมาจากการตระหนักว่านักเรียนแต่ละคนมีศักยภาพต่างกัน มีความชื่นชอบในรูปแบบการเรียนรู้และมียุทธวิธีในการเรียนรู้ที่ต่างกัน
5.บรรยากาศในการเรียนรู้ กล่าวคือการเรียนรู้ควรเกิดขึ้นได้ทุกที่ และทุกเวลา ทั้งในรูปแบบต่างและในความหมายต่างๆ ที่สามารถสร้างสรรค์ได้ บรรยากาศการเรียนรู้เช่นนี้จะช่งยสร้างเสริมให้นักเรียนมีส่วนร่วมและมีความ รับผิดชอบในการศึกษาของตน ดังนั้นนักเรียนได้ถูกเตรียมตัวในบรรยากาศที่แท้จริงด้วยกิจกรรมนอกห้อง เรียนที่จะเพิ่มการเรียนรู้ของนักเรียนในมิติต่างๆ
6.นักเรียนถูกกระตุ้นจากภายใน (มีแรงจูงใจของตัวเอง) มากกว่าถูกกระตุ้นจากภายนอก (แรงจูงใจจากภายนอก) หรือกล่าวง่ายๆ ว่านักเรียนมีแรงจูงใจจากภายในไม่ใช่จากภายนอก ยกตัวอย่างเช่น นักเรียนพิมพ์รายงานส่งเพราะนักเรียนต้องการสร้างความภูมิใจให้งานของตัวเอง ไม่ใช่ต้องการให้คนอื่นชื่นชมวิธีการนำเสนอนี้
ชื่อ-นามสกุล นางสาวสุกัญญา แสนสุโพธิ์
รหัสนักศึกษา 593150310856
สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ห้อง 3
*คำคมฝากคิด
You can be the one in a
million. Don’t be discouraged by the odds to succeed.”
“คุณสามารถ
เป็นหนึ่งในล้านได้ อย่าให้ความท้อถอย มาทำลายความสำเร็จ”
#เดวิด เบคแฮม
ชุดที่ 6
วิชา
การออกแบบและการจัดการเรียนรู้
ประจำภาคเรียนที่ 2 / 2560
โดย ผู้ช่วยศาสตราจารย์ ดร.พิจิตรา ธงพานิช
คำชี้แจง : ให้นักศึกษาอ่านคำชี้แจงและปฏิบัติตามดังต่อไปนี้
1. มีทั้งหมด 10 ข้อ แบบอัตนัยและแบบปรนัย ให้นักศึกษาทำทุกข้อ
2. เขียนคำตอบโดยให้ใช้ปากกาสีน้ำเงิน
สีดำ หรือสีแดงเท่านั้น
ที่ไม่เป็นจริง
………P…… 1. รูปแบบ (Model) หมายถึง
รูปธรรมของความคิดที่เป็นนามธรรม ซึ่งแสดงออกมาในลักษณะใดลักษณะหนึ่ง เช่น
แผนผัง
ไดอะแกรม หรือแผนภาพ เพื่อให้ตนเองและบุคคลอื่นสามารถเข้าใจได้ชัดเจนขึ้น
………P…… 2. รูปแบบเชิงสาเหตุ (Causal Model)
เป็นรูปแบบด้านศึกษาศาสตร์ โดยเป็นความคิดที่แสดงออกผ่านทางสูตร
คณิตศาสตร์ ซึ่งส่วนมากจะเกิดขึ้นหลังจากได้รูปเชิงภาษาแล้ว
………P…… 3. รูปแบบการเรียนการสอน หมายถึง
สภาพหรือลักษณะของการจัดการเรียนการสอนอย่างเป็นระบบระเบียบตามหลัก
ปรัชญา
ทฤษฏี หลักแนวคิดและความเชื่อต่างๆ โดยมีการจัดกระบวนการเรียนการสอนโดยอาศัยวิธีสอนและเทคนิค
การสอนต่างๆ
เข้าไปและได้รับการพิสูจน์และทดสอบแล้วว่ามีประสิทธิภาพ
รูปแบบการเรียนการสอนมโนทัศน์
|
รูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้ผังกราฟิก
|
เนื่องจากผู้เรียนเกิดการเรียนรู้มโนทัศน์
จากการคิด วิเคราะห์และตัวอย่างที่หลากหลาย
ดังนั้นผลที่ผู้เรียนจะได้รับโดยตรงคือ
จะเกิดความเข้าใจในมโนทัศน์นั้น และได้เรียนรู้ทักษะการสร้างมโนทัศน์
ซึ่งสามารถนำไปใช้ในการทำความเข้าใจมโนทัศน์อื่น
ๆต่อไปได้ รวมทั้งช่วยพัฒนาทักษะการใช้เหตุผล
โดยการอุปนัย
(inductive
reasoning) อีกด้วย
|
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนได้เชื่อมโยงความรู้ใหม่กับความรู้เดิมและสร้างความหมายและความ
เข้าใจในเนื้อหาสาระหรือข้อมูลที่เรียนรู้
และจัดระเบียบข้อมูลที่เรียนรู้ด้วยผังกราฟิก ซึ่งจะช่วยให้ง่ายแก่การ
จดจำ
|
คำชี้แจง : ข้อ 5 ให้นักเรียน ทำเครื่องหมาย หน้าคำตอบที่ถูกต้องที่สุด
5. ข้อใดกล่าว ไม่ถูกต้อง เกี่ยวกับรูปแบบการเรียนการสอนโดยใช้บทบาทสมมุติ (Role-Playing Model)
ก. ผู้พัฒนารูปแบบนี้คือแซฟเทลและแซฟเทล (Shaftel and Shaftel, 1967)
ข. การสอนในรูปแบบนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยความเคลื่อนไหวหรือ
ประสานงานของกล้ามเนื้อทั้งหลายได้อย่างดี มีความถูกต้อง และมีความชำนาญ
ค. กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบนี้แบ่งออกเป็น 9 ขั้น ได้แก่ การนำเสนอสถานการณ์ปัญหาและบทบาทสมมติ การ
เลือกผู้แสดง การจัดฉาก การเตรียมผู้สังเกตการณ์ และการแสดง เป็นต้น
ง. การเรียนในรูปแบบนี้จะทำให้ผู้เรียนจะเกิดความเข้าใจที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับความรู้สึก ค่านิยม คุณธรรม จริยธรรมของผู้อื่นได้
จ. ผู้แสดงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการที่จะทำให้ผู้ชมเข้าใจเรื่องราว/เหตุการณ์ ซึ่งผู้แสดงจะต้องแสดงตามบทบาทให้ดีที่สุด
คำชี้แจง
:
ข้อ
6-10 จงตอบคำถามต่อไปนี้ และเขียนคำตอบลงในกระดาษคำตอบ
6. จงพิจารณาตัวเลือก A-C ต่อไปนี้ และเลือกมา 1 ตัวเลือก แล้วตอบคำถามตามประเด็นดังนี้
A. รูปแบบการสอนตามแนวคิดการพัฒนาทักษะปฏิบัติของซิมพ์ซัน
B. รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของแฮร์โรว์
C. รูปแบบการสอนทักษะปฏิบัติของเดวีส์
ทฤษฏี/หลักการของรูปแบบ
ทักษะเป็นเรื่องที่มีความเกี่ยวข้องกับพัฒนาการ
ทางกายของผู้เรียน เป็นความสามารถในการประสานการท างานของกล้ามเนื้อหรือร่างกาย
ในการ
ท างานที่มีความซับซ้อน
และต้องอาศัยความสามารถในการใช้กล้ามเนื้อหลาย ๆ ส่วน การท างาน
ดังกล่าวเกิดขึ้นได้จากการสั่งงานของสมอง
ซึ่งต้องมีความสัมพันธ์กับความรู้สึกที่เกิดขึ้น ทักษะปฏิบัติ
นี้สามารถพัฒนาได้ด้วยการฝึกฝน ซึ่งหากได้รับการฝึกฝนที่ดีแล้ว
จะเกิดความถูกต้อง ความ
คล่องแคล่ว ความเชี่ยวชาญและความคงทน
ผลของพฤติกรรมหรือการกระทำสามารถ
สังเกตได้จากความรวดเร็ว ความแม่นยำ
ความเร็วหรือความราบรื่นในการ จัดการ
วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนสามารถปฏิบัติหรือทำงานที่ต้องอาศัยการเคลื่อนไหวหรือการ
ประสานงานของกล้ามเนื้อทั้งหลายได้อย่างดี
มีความถูกต้องและมีความชำนาญ
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ
(ยกตัวอย่างมา 1 ขั้น)
ขั้นที่ 1 ขั้นการรับรู้ เป็นขั้นการให้ผู้เรียนรับรู้ในสิ่งที่จะทำโดยการให้ผู้เรียนสังเกตการทำงานนั้นอย่างตั้งใจ
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะสามารถกระทำหรือแสดงออกอย่างคล่องแคล่ว
ชำนาญ ในสิ่งที่ต้องการให้ผู้เรียนทำได้ นอกจากนั้นยังช่วยพัฒนาความคิดสร้างสรรค์
และความอดทนให้เกิดขึ้นในตัวผู้เรียนด้วย
7.
จงบอกความแตกต่างของรูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสอบและแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม
กับ รูปแบบการสอนกระบวนการคิดสร้างสรรค์ โดยเขียนคำตอบลงในตารางที่กำหนดให้ โดยจะนำเสนอประเด็นอะไรก็ได้ไม่จำกัด
(สามารถดูประเด็นตัวอย่างในการเขียนในข้อ 6)
รูปแบบการเรียนการสอนกระบวนการสืบสอบ
และแสวงหาความรู้เป็นกลุ่ม
|
รูปแบบการสอน
กระบวนการคิดสร้างสรรค์
|
รูปแบบนี้มุ่งพัฒนาทักษะในการสืบสอบเพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้ความเข้าใจ
โดยอาศัยกลุ่มซึ่งเป็นเครื่องมือทางสังคมช่วยกระตุ้นความสนใจหรือความอยากรู้และช่วยดำเนินงานการแสวงหาความรู้หรือคำตอบที่ต้องการ
|
ผู้เรียนจะเกิดความคิดใหม่
ๆ และสามารถนำความคิดใหม่ ๆ นั้นไปใช้ในงานของตน ทา ให้งานของตนมีความแปลกใหม่
น่าสนใจมากขึ้น นอกจากนั้น ผู้เรียนอาจเกิดความ ตระหนักในคุณค่าของการคิด และความคิดของผู้อื่นอีกด้วย
|
8. จงพิจารณาตัวเลือก A-D ต่อไปนี้ และเลือกมา 1 ตัวเลือก แล้วตอบคำถามตามประเด็นดังนี้
A. รูปแบบการเรียนการสอนทางตรง
B. รูปแบบการเรียนการสอนโดยการสร้างเรื่อง
C. รูปแบบการเรียนการสอนตามวัฏจักรการเรียนรู้ 4 MAT
D. รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
ทฤษฏี/หลักการของรูปแบบ
แม็ค คาร์ธี (Mc Carthy, อ้างถึงใน ศักดิ์ชัย นิรัญทวี และไพเราะ พุ่มมั่น,
2542: 7-11) พัฒนารูปแบบการเรียนการสอนนี้ขึ้นจากแนวคิดของโคล์ป
(Kolb) ซึ่งอธิบายว่า
การเรียนรู้เกิดขึ้น จากความสัมพันธ์ของ 2 มิติ คือการรับรู้ และกระบวนการจัดกระท าข้อมูล
การรับรู้ของบุคคลมี 2 ช่องทาง
คือผ่านทางประสบการณ์ที่เป็นรูปธรรม และผ่านทางความคิดรวบยอดที่เป็นนามธรรม ส่วน การจัดกระท
ากับข้อมูลที่รับรู้นั้น มี 2 ลักษณะเช่นเดียวกัน คือการลงมือทดลองปฏิบัติ และการ สังเกตโดยใช้ความคิดอย่างไตร่ตรอง
วัตถุประสงค์ของรูปแบบ
เพื่อช่วยให้ผู้เรียนมีโอกาสได้ใช้สมองทุกส่วน
ทั้งซีกซ้ายและขวา ในการสร้างความรู้ ความเข้าใจให้แก่ตนเอง
กระบวนการเรียนการสอนของรูปแบบ (ยกตัวอย่างมา 1
ขั้น)
ขั้นที่ 1
การสร้างประสบการณ์
ผู้สอนเริ่มต้นจากการจัดประสบการณ์ให้ผู้เรียนเห็นคุณค่า ของเรื่องที่เรียนด้วยตนเอง
ซึ่งจะช่วยให้ผู้เรียนตอบได้ว่า ทำไม ตนจึงต้องเรียนรู้เรื่องนี้
ผลที่ผู้เรียนจะได้รับจากการเรียนตามรูปแบบ
ผู้เรียนจะสามารถสร้างความรู้ด้วยตนเองในเรื่องที่เรียน
จะเกิดความรู้ความเข้าใจและ น าความรู้ความเข้าใจนั้นไปใช้ได้
และสามารถสร้างผลงานที่เป็นความคิดสร้างสรรค์ของตนเอง รวมทั้ง ได้พัฒนาทักษะกระบวนการต่าง
ๆ อีกจ านวนมาก
9.
เราต่างทราบกันดีว่า รูปแบบการเรียนการสอนของการเรียนรู้แบบร่วมมือ
(Co-operative Learning) นั้นมีกระบวนการสอนหลายรูปแบบที่มีวิธีการสอนและมีกระบวนการที่มีความแตกต่างกันไป
คือ
JGSAW STAD TAI TGT LT GI CIRC
Complex
Instruction
ท่านคิดว่า กระบวนการต่างๆ ในรูปแบบนี้มีประโยชน์ต่อผู้เรียนอย่างไร
ทำให้ผู้เรียนได้ความรู้จากการลงมือทำทั้งเเบบเดี่ยวเเละเเบบเป็นกลุ่มทำให้ได้ความรู้เเละเกิดการเรียนรู้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น
และมีประโยชน์ต่อผู้สอนอย่างไร
ทำให้ผู้สอนมีการเรียนการสอนที่ได้ประสิทธิภาพเเละทำให้ผู้สอนมีพัฒนาการในการสอน
ผู้เรียน เพราะการเรียนเเบบสากลรูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากล
รูปแบบการเรียนการสอนที่เป็นสากลซึ่ง รองศาสตราจารย์ ดร. ทิศนา แขมมณี ได้คัดเลือกมานำเสนอล้วนได้รับการพิสูจน์ทดสอบประสิทธิภาพมาแล้วและมีผู้นิยมนำไปใช้ในการเรียนการสอนโดยทั่วไป แต่เนื่องจากรูปแบบการเรียนการสอนดังกล่าวมีจำนวนมาก เพื่อความสะดวกในการศึกษาและการนำไปใช้
จึงได้จัดหมวดหมู่ของรูปแบบเหล่านั้นตามลักษณะของวัตถุประสงค์เฉพาะหรือเจตนารมณ์ของรูปแบบ ซึ่งสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 5 หมวดดังนี้
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย(cognitive domain)
จึงได้จัดหมวดหมู่ของรูปแบบเหล่านั้นตามลักษณะของวัตถุประสงค์เฉพาะหรือเจตนารมณ์ของรูปแบบ ซึ่งสามารถจัดกลุ่มได้เป็น 5 หมวดดังนี้
1. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านพุทธิพิสัย(cognitive domain)
รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรูปแบบการเรียนการสอนที่มุ่งช่วยให้ผู้เรียนเกิดความรู้ความเข้าใจในเนื้อหาสาระต่าง ๆ ซึ่งเนื้อหาสาระนั้นอาจอยู่ในรูปของข้อมูล ข้อเท็จจริง มโนทัศน์ หรือความคิดรวบยอด
2. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านจิตพิสัย(affective domain)
รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้เป็นรูปแบบที่มุ่งช่วยพัฒนาผู้เรียนให้เกิดความรู้สึก เจตคติ ค่านิยม คุณธรรม และจริยธรรมที่พึงประสงค์ ซึ่งเป็นเรื่องที่ยากแก่การพัฒนาหรือปลูกฝัง การจัดการเรียนการสอนตามรูปแบบการสอนที่เพียงให้เกิดความรู้ความเข้าใจ มักไม่เพียงพอต่อการให้ผู้เรียนเกิดเจตคติที่ดีได้ จำเป็นต้องอาศัยหลักการและวิธีการอื่นๆ เพิ่มเติม
3. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย(psycho-motor domain)
3. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาด้านทักษะพิสัย(psycho-motor domain)
รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรูปแบบที่มุ่งช่วยพัฒนาความสามารถของผู้เรียนในด้านการปฏิบัติ การกระทำ หรือการแสดงออกต่าง ๆ ซึ่งจำเป็นต้องใช้หลักการ วิธีการ ที่แตกต่างไปจากการพัฒนาทางด้านจิตพิสัยหรือพุทธิพิสัย
4. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ(process skill)
4. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการพัฒนาทักษะกระบวนการ(process skill)
ทักษะกระบวนการ เป็นทักษะที่เกี่ยวข้องกับวิธีดำเนินการต่าง ๆ ซึ่งอาจเป็น
กระบวนการทางสติปัญญา เช่น กระบวนการสืบสอบแสวงหาความรู้ หรือกระบวนการคิดต่าง ๆ อาทิ การคิดวิเคราะห์ การอุปนัย การนิรนัย การใช้เหตุผล การสืบสอบ การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นต้น หรืออาจเป็นกระบวนการทางสังคม เช่น กระบวนการทำงานร่วมกัน เป็นต้น ปัจจุบันการศึกษาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำรงชีวิต
กระบวนการทางสติปัญญา เช่น กระบวนการสืบสอบแสวงหาความรู้ หรือกระบวนการคิดต่าง ๆ อาทิ การคิดวิเคราะห์ การอุปนัย การนิรนัย การใช้เหตุผล การสืบสอบ การคิดริเริ่มสร้างสรรค์ และการคิดอย่างมีวิจารณญาณ เป็นต้น หรืออาจเป็นกระบวนการทางสังคม เช่น กระบวนการทำงานร่วมกัน เป็นต้น ปัจจุบันการศึกษาให้ความสำคัญกับเรื่องนี้มาก เพราะถือเป็นเครื่องมือสำคัญในการดำรงชีวิต
5. รูปแบบการเรียนการสอนที่เน้นการบูรณาการ(integration)
รูปแบบการเรียนการสอนในหมวดนี้ เป็นรูปแบบที่พยายามพัฒนาการเรียนรู้
ด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนไปพร้อม ๆ กัน โดยใช้การบูรณาการทั้งทางด้านเนื้อหาสาระและวิธีการ รูปแบบในลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีความสอดคล้องกับหลักทฤษฎีทางการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนารอบด้าน หรือการพัฒนาเป็นองค์รวม
ด้านต่าง ๆ ของผู้เรียนไปพร้อม ๆ กัน โดยใช้การบูรณาการทั้งทางด้านเนื้อหาสาระและวิธีการ รูปแบบในลักษณะนี้กำลังได้รับความนิยมอย่างมาก เพราะมีความสอดคล้องกับหลักทฤษฎีทางการศึกษาที่มุ่งเน้นการพัฒนารอบด้าน หรือการพัฒนาเป็นองค์รวม
เพราะเน้นผู้เรียนเป็นสำคัญ
ชื่อ-นามสกุล นางสาวสุกัญญา แสนสุโพธิ์
รหัสนักศึกษา 593150310856
สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ห้อง 3
รหัสนักศึกษา 593150310856
สาขาวิชาภาษาอังกฤษ ห้อง 3
*คำคมฝากคิด
"If you focus on results,
you
will never change. If you
focus on change, you will get
results."
ถ้ามัวแต่รอให้ทุกสิ่งเปลี่ยนแปลง
ทุกอย่างก็จะไม่มีวันเปลี่ยนไป
แต่ถ้าคุณเริ่มสร้างความเปลี่ยนแปลงด้วยตัวเอง
สิ่งที่คุณคาดหวังก็จะมาถึงเอง
#JACK DIXON
สมัครสมาชิก:
บทความ (Atom)
โมเดลการทำความเข้าใจ
สรุป จากภาพแสดงให้เห็นว่าความสำคัญของสภาพแวดล้อมการเรียนรู้ที่มีคุณภาพโดยการเรียนรู้ที่ผู้เรียนได้ปฏิบัติตนในทางที่ดีคือการเ...
-
การสอนแบบเน้นกระบวนการคิดด้วยเทคนิค 5E และ 7 E 1. การสอนแบบเน้นกระบวนการคิดด้วยเทคนิค 5 E 1.1 ความหมาย สถาบันส่งเสริมการสอนวิทยาศา...
-
อิริคสัน ค.ศ.1902 เป็นนักจิตวิเคราะห์ที่มีชื่อของอเมริกา และจัดอยู่ในกลุ่มฟรอยด์รุ่นใหม่ เกิดที่เมืองแฟรงเฟิต ประเทศเยอรมัน ต่อม...
-
ผังก้างปลา ( A fish borne Map ) เป็นผังที่แสดงสาเหตุของปัญหาซึ่งมีความซับซ้อน ช่วยทําให้เห็นสาเหตุหลักและสาเหตุ ย่อยที่ชัดเจน